วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ราษฎร์เดินนำ ราชดำเนิน เพลิน "กวีนิพนธ์การเมืองไทย"

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11540 มติชนรายวัน


ราษฎร์เดินนำ ราชดำเนิน เพลิน "กวีนิพนธ์การเมืองไทย"


คอลัมน์ สยามประเทศไทย

โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ




ราษฎร์เดินนำ ราชดำเนิน หนังสือรวมกวีนิพนธ์การเมืองตลอดปี พ.ศ. 2551 ของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

ในเล่มนี้มีกวีนิพนธ์ 2 บท เกี่ยวข้องกับการเมืองไทยทุกวันนี้และอนาคต

แต่เป็นการเมืองไทยที่"ถูกทำให้ลืม"ด้วยการครอบงำของ"อำนาจ"เหนือพลังพรรณนา โวหารของกวี ทำให้ 24 มิถุนา (2475) กับ 14 ตุลา (2516) หงอยๆ เหงาๆ และงงๆ



ประชาสถาปนา

ยี่สิบสี่มิถุนา สองสี่เจ็ดห้าสมัย

สถาปนาประชาธิปไตย ยังไม่ไปถึงไหนเลย

ปล้ำผีลุกปลุกผีนั่ง ผีสตางค์มันเข้าเกย

ซื้อประชาไปผ่าเผย แล้วนั่งแท่นขึ้นครองเมือง

ตัวตายก็ตัวแทน เป็นส่ำแสนเข้าหนุนเนือง



ใช้รัฐธรรมนูญเปลือง เป็นเครื่องมือพวกสามานย์

กลับผิดให้เป็นถูก แล้วเปลี่ยนถูกเป็นผิดผลาญ

ประโยชน์ชาติก็แหลกลาญ ให้ต่างชาติเข้าชุบมือ

ชูมือชุบมือเปิบ กำเริบสัมปทานถือ

โลกร้อนเป็นไฟฮือ ไม่เท่าร้อนประชาชน

อัปเปหิมันออกไป พวกหน้าด้านและหน้าทน

จัดตั้งกำลังตน กำจัดมารที่ครองเมือง!



สามสิบห้าปี 14 ตุลา

๏ บทเรียนแห่งสิบสี่ตุลาคม คือเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่

เป็นเจตนาประชาธิปไตย ซึ่งยังไม่เป็นจริง แม้วันนี้

ยังคงความขัดแย้งแห่งความคิด ยังต่างทิศ ต่างทาง ยังต่างสี

เผด็จการเป็นใหญ่ไปทุกที สิทธิ์เสรีประชาธิปไตย ไพล่พลิกแพลง

รัฐธรรมนูญเปื้อนน้ำตามากี่หยด กี่คราบเลือดปรากฏสยดแสยง

ทุกอำนาจ ทุกมาตรา เป็นตาตะแกรง ล้วนไหน่หนอนยอนแยง แย่งตีตรา

ปัญญาชนคนชั้นกลาง ยังใบ้เบื้อ คนรากหญ้าเป็นเหยื่อทุกหย่อมหญ้า

เผด็จการเบ็ดเสร็จ เผด็จสภา ปล้นประชาธิปไตยไปทุกครั้ง

บรรลุสามสิบห้าปี สิบสี่ตุลา วีรชนคนกล้า ประกายหวัง

มือที่รับช่วงธงยังทรงพลัง โหมประดังโดยมหาประชาชน

จักสืบทอดเจตนา ประชาธิปไตย จักโบกธงตุลาชัยไปทุกหน

จักขอดเกล็ดเผด็จการที่ด้านทน กู้ศักดิ์ศรีความเป็นคน ให้คงคืน

คารวะดวงวิญญาณ ผู้หาญกล้า คนตุลา คมตุลา ผู้กล้าขืน

อำนาจแห่งคมหอกกระบอกปืน เพื่อจักยืนหยัดย้ำ ความเป็นไท

พิทักษ์คม แห่งมหาตุลาคม สืบทอดเจตนารมณ์อันยิ่งใหญ่

จักช่วงชูธงชัยสะบัดชัย สร้างประชาธิปไตย ให้เป็นจริง!



14 ตุลาคม เป็นประวัติศาสตร์การเมืองของไทยที่ถูก"ทำให้ลืม" สาระสำคัญ "เจตนาประชาธิไตย" เหมือน 24 มิถุนายน

แต่แล้วสังคมไทยก็พากันลืมทั้ง 2 เรื่องอย่างเชื่องๆ เลยทำให้เจตนานั้น "ยังไม่เป็นจริงแม้วันนี้


หน้า 21

ตีกลองทวนความจำ 36 ปี 14 ตุลา 2516 รำลึก "วันมหาวิปโยค"

วันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เวลา 17:35:48 น.  มติชนออนไลน์

ตีกลองทวนความจำ 36 ปี 14 ตุลา 2516 รำลึก "วันมหาวิปโยค"

โดย โต๊ะข่าวเฉพาะกิจ หนังสือพิมพ์มติชน
 


 

"สิบสี่ตุลา วันยิ่งใหญ่ของไทยทั้งชาติ เลือดไทยต้องไหลสาดอาบพื้นธรณี เพื่อสิทธิเสรี สู้เพื่อน้องพี่ ชีพนี้ยอมพลี สดุดีวีรกรรมของ..วีรชน" เสียงเพลงที่สร้างความฮึกเหิมจากวงกรรมาชนเมื่อ 36 ปีก่อน ดูเหมือนจะลอยมากระทบหูในห้วงแห่งความทรงจำของใครหลายคนที่เคยร่วมในเหตุการณ์


จึงเป็นธรรมดาที่เรื่องราวของ 14 ตุลา 2516 ยังคงฝังอยู่ในใจและเป็นจุดเริ่มต้นอะไรหลายๆ อย่าง ในด้านการสร้างสรรค์สังคมและผลักดันความเป็นประชาธิปไตยในการเมืองไทย ของคนที่เคยผ่านเหตุการณ์


ผ่านมาแล้วถึง 36 ปี เสียงหลายเสียงจากคนเคยผ่านเหตุการณ์เริ่มดังขึ้น เชิงท้อแท้ที่ว่าคนรุ่นใหม่ไม่มีใครรับรู้ถึงประวัติศาสตร์วันมหาวิปโยคที่ ผ่านมา เจตนารมณ์ของวีรชนเหล่านั้นคงจะมลายหายสูญ ไร้ความหมาย


แต่สำหรับ ณ วินาที ขอแปลงกายเป็นจอมอนิเตอร์ขนาดยักษ์ ย้อนภาพในอดีตของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นใหม่ คนรุ่นกลาง คนรุ่นเก่า หรือคนที่เคยผ่านเหตุการณ์มาแล้ว ให้ได้รับรู้ร่วมกันอีกครั้ง


จับภาพไปจุดเริ่มคือวันที่ 5 ตุลาคม เวลา 16.00 น. สมาชิกกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญประมาณ 10 คน อาทิ นายธีรยุทธ บุญมี, นายประสาร มฤคพิทักษ์, นายประพันธ์ศักดิ์ กมลเพชร, นายธัญญา ชุนชฎาธาร ได้แถลงข่าวเป็นครั้งแรกถึงโครงการรณรงค์เรียกร้องรัฐธรรมนูญ บริเวณสนามหญ้าอนุสาวรีย์ทหารอาสา โดยเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งร่างรัฐธรรมนูญ และประกาศใช้โดยเร็วที่สุดด้วยสันติวิธี โดยได้นำรายชื่อผู้ลงนามเรียกร้องรัฐธรรมนูญ 100 คนแรก ซึ่งอยู่ในแวดวงต่างๆ มาเปิดเผยด้วย


วันที่ 6 ตุลาคม เวลา 14.00 น. ตำรวจสันติบาลและนครบาล เข้าจับกุมกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญทันที 11 คน ประกอบด้วยอาจารย์ นิสิตนักศึกษา นักหนังสือพิมพ์ และนักการเมือง ถูกแจ้งข้อหา "มั่วสุมและมีการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน" ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 4


วันที่ 7 ตุลาคม ช่วงเที่ยง ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ได้เรียกประชุมคณะกรรมการบริหาร และออกแถลงการณ์คัดค้านการจับกุม ช่วงบ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุม นายก้องเกียรติ คงคา นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ ปีที่ 3 มหาวิทยาลัยรามคำแหง เพิ่มอีกคน


วันที่ 8 ตุลาคม ตอนเช้า มีการโปรยใบปลิวและปิดโปสเตอร์โจมตีรัฐบาล ว่าเป็นเผด็จการในตัวเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีโปสเตอร์โจมตีรัฐบาลอย่างรุนแรงปิดทั่วบริเวณ และเรียกร้องให้นักศึกษาไปชุมนุมกันที่หอประชุมใหญ่ เพื่อไปเยี่ยมผู้ถูกจับกุม วันเดียวกัน พล.ต.ต.ชัย สุวรรณศร ผู้บังคับการตำรวจสันติบาล ออกหมายจับนายไขแสง สุกใส อดีต ส.ส.นครพนม ในข้อหาอยู่เบื้องหลังกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญ


ต่อมาในตอนบ่าย จอมพลประภาส จารุเสถียร ชี้แจงใน ที่ประชุมกระทรวงมหาดไทย ว่ามีคอมมิวนิสต์จากต่างประเทศเข้ามาแทรกแซงการเคลื่อนไหวของนิสิต นักศึกษา และเย็นวันเดียวกัน องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.) ได้ชุมนุมประท้วงที่ลานโพธิ์ให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้งหมด


วันที่ 9 ตุลาคม บรรยากาศภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการประกาศงดสอบ และชักชวนให้ไปชุมนุมที่ลานโพธิ์แทนพร้อมประณามการกระทำของรัฐบาล นักศึกษาหลายสถาบันเริ่มชุมนุม อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 205 คน ทำจดหมายเปิดผนึกถึงจอมพลถนอม เรียกร้องให้ปล่อยผู้ต้องหาทั้ง 13 คน โดยด่วน สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยออกแถลงการณ์ของรัฐบาล ระบุว่าบุคคลทั้ง 13 คนที่ถูกตำรวจจับมีแผนล้มล้างรัฐบาล เป็นภัยต่อความสงบสุขของประชาชน


วันที่ 10 ตุลาคม นักเรียน นักเรียนอาชีวะ นิสิต นักศึกษาในกรุงเทพฯ จากหลายสถาบันเริ่มทยอยกันมาชุมนุมที่ลานโพธิ์ และย้ายไปที่สนามฟุตบอล


พอถึงเที่ยงคืนมีบุคคลลึกลับนำใบปลิวเถื่อนโจมตีกลุ่มเรียกร้องรัฐธรรมนูญไปโปรยรอบสนามฟุตบอลธรรมศาสตร์


วันที่ 11 ตุลาคม นิสิต นักศึกษา และประชาชนจากทั่วกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงทยอยมายังสนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวัน จนเต็มแน่น จอมพลถนอม กิตติขจร สั่งให้ทหาร 3 เหล่าทัพ เตรียมพร้อมเพื่อรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นจากการชุมนุม


วันที่ 12 ตุลาคม ประชาชนหลั่งไหลไปรวมตัวที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการผลัดเปลี่ยนกันขึ้นอภิปรายบนเวทีของผู้นำนักศึกษา คลื่นมนุษย์เบียดเสียดกันกว่า 2 แสนคน วิทยุกรมประชาสัมพันธ์ประกาศเตือนพ่อแม่ผู้ปกครองมิให้ปล่อยลูกหลานมาร่วม ชุมนุม ศูนย์นิสิตฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันให้รัฐบาลปล่อยตัว 13 ผู้ต้องหาโดยไม่มีเงื่อนไข


วันที่ 13 ตุลาคม ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยเริ่มเคลื่อนไหว แบ่งหน้าที่ในการปฏิบัติงานออกเป็น 3 ชุด โดยชุดที่ 1 ไปเจรจากับรัฐบาล ชุดที่ 2 ไปขอเข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดาฯ ชุดที่ 3 ทำหน้าที่ในการควบคุมการเคลื่อนไหวขบวนของนักเรียน นิสิต นักศึกษา


นายกสโมสรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการศูนย์ฯ อีก 2 คน เข้าพบ จอมพลประภาส จารุเสถียร ที่สวนรื่นฤดี เพื่อขอทราบการตัดสินใจของรัฐบาลเกี่ยวกับข้อเสนอให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาทั้ง 13 คน


ระหว่างเวลา 16.20-17.20 น. ตัวแทนศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาฯ 9 คน ได้เข้าเฝ้าฯพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งกรรมการศูนย์ฯ ได้ตกลงว่าจะอัญเชิญพระบรมราโชวาทแจ้งให้ฝูงชนทราบ


เวลา 20.00 น. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ประกาศว่ารัฐบาลยอมรับข้อเสนอของศูนย์ฯ ปล่อยผู้ถูกจับกุมทั้ง 13 คน และจอมพลประภาส ได้ให้คำรับรองว่าจะร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายในเดือนตุลาคม 2517


ที่สะพานมัฆวาฬฯ เวลา 21.00 น. นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ เลขาธิการศูนย์ฯ ขึ้นไปแจ้งให้ผู้ร่วมชุมนุมทราบว่า กรรมการบริหารศูนย์ฯ ได้เซ็นสัญญากับรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว และกำลังนำพระบรมราโชวาทฯ มาแจ้งให้ทราบ ผู้ร่วมชุมนุมต่างแสดงความยินดี


เวลา 22.00 น. กรมประชาสัมพันธ์ ออกแถลงการณ์ ว่าบัดนี้ได้มีบุคคลที่มิใช่นักศึกษา ถือโอกาสอภิปรายโจมตีรัฐบาลและยุยงส่งเสริมให้เกิดความวุ่นวายต่อไป


ส่วนทางด้านลานพระบรมรูปทรงม้า นายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการของศูนย์ฯ ได้แถลงจากรถบัญชาการขอให้กรรมการศูนย์ฯ รีบเดินทางมาพบฝ่ายปฏิบัติการโดยด่วน เพื่อชี้แจงให้ผู้ชุมนุมได้ทราบ เพราะสถานการณ์เริ่มเลวร้ายลง ไม่มีใครเชื่อข่าวการตกลงยอมรับเงื่อนไขกับรัฐบาล จนกว่าจะได้ทราบจากปากผู้แทนของรัฐบาล หรือคณะกรรมการศูนย์ฯเอง


ปรากฏว่าในเวลา 23.30 น. นายพีรพล ตริยะเกษม นายก อมธ. และนายเสกสรรค์ ได้รับข่าวการตั้งกำลังประชิดของฝ่ายทหารตำรวจ รวมทั้งข่าวที่จะใช้รถถังปราบปรามผู้เดินขบวนที่จะเข้าไปใกล้สวนพุดตาน ในที่สุดนายเสกสรรค์ตัดสินใจสั่งเคลื่อนขบวนจากลานพระบรมรูปทรงม้าไปยังสวน จิตรลดาฯ ในเวลา 24.00 น.


วันที่ 14 ตุลาคม เวลาประมาณ 01.00 น. ส่วนหน้าของขบวนนักศึกษาเคลื่อนผ่านประตูทางด้านทิศตะวันตกของสวนจิตรลดาฯ แล้วเผชิญหน้ากับแถวปิดกั้นของตำรวจปราบจลาจล จึงไม่สามารถเคลื่อนขบวนต่อไปได้


เมื่อคณะกรรมการศูนย์ฯ มาถึงหลังแนวปิดกั้นของตำรวจ เลขาธิการและกรรมการของศูนย์ฯ ได้ผลัดขึ้นไปพูดผ่านเครื่องขยายเสียงโจมตีนายเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ว่ามีเจตนาไม่บริสุทธิ์ และมีคอมมิวนิสต์สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ขอให้นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนสลายตัวกลับไป เพราะคณะกรรมการศูนย์ฯ ได้ตกลงกับรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว


เวลา 02.45 น. นายธีรยุทธ บุญมี เข้าไปพบกับนายเสกสรรค์ ปรับความเข้าใจกันแล้วช่วยกันประกาศผ่านไมโครโฟนเพื่อให้ผู้ชุมนุมคลายความ สงสัยลง กระทั่งเวลา 04.45 น. พ.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นายตำรวจประจำสำนักพระราชวัง นายธีรยุทธ นายเสกสรรค์ ออกจากพระราชวังสวนจิตรลดาฯ ตรงไปยังรถบัญชาการ ช่วยกันประกาศให้ผู้ชุมนุมได้เข้าใจถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและความสำเร็จใน การเจรจากับรัฐบาล


พ.ต.อ.วสิษฐ อัญเชิญพระบรมราโชวาทอ่านให้ที่ชุมนุมฟัง จากนั้นฝูงชนก็เริ่มแยกย้ายกันออกจากที่ชุมนุม ในเวลาประมาณ 06.00 น. แต่แล้วกลับถูกกั้นโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 250 คน จนเมื่อเวลาประมาณ 06.30 น. เกิดการขว้างปาและประจันหน้ากันรุนแรงขึ้น ในที่สุดตำรวจหน่วยปราบปรามภายใต้การบัญชาการของ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ก็ได้ใช้ไม้กระบองและโล่เข้าตีและดันผู้เดินขบวนให้ถอยร่นไป


ขณะเดียวกันตำรวจกองปราบในแนวหลังได้รับคำสั่งให้ยิงแก๊สน้ำตาจนฝูง ชนแตกหนี ผู้ร่วมชุมนุมจำนวนมากถูกดัน ถูกตี และสำลักแก๊สน้ำตาจนตกน้ำ ต่างวิ่งหนีเอาชีวิตรอด บางคนต่อสู้โดยใช้มือเปล่า ไม้ ก้อนหิน และขวดเท่าที่จะหยิบฉวยได้ตามพื้นถนน


วันที่ 15 ตุลาคม เวลา 07.00 น. ที่ลานพระบรมรูปทรงม้า นักเรียนอาชีวะและนักศึกษาได้ใช้รถเสบียงบรรทุกไม้จำนวนมากมาแจกให้กับนัก เรียน นักศึกษาต่อสู้กับตำรวจ ขณะที่ตำรวจที่สังเกตการณ์อยู่ได้พยายามยิงแก๊สน้ำตาเพื่อให้ฝูงชนแตกกระจาย แต่ก็ถูกตอบโต้ด้วยไม้และก้อนหิน นักเรียน นิสิต นักศึกษาที่ทราบข่าวการปะทะที่สวนจิตรลดาฯ ได้เริ่มทยอยเข้าไปรวมกันในธรรมศาสตร์จำนวนมาก


เวลาประมาณ 08.30 น. นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน เคลื่อนจากลานพระบรมรูปทรงม้า ตรงไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ มีการขว้างปาไม้และก้อนหินเข้าไปยัง บช.น. และมีรถกระจายเสียงของนักศึกษาประกาศให้ไปรวมตัวกันที่ธรรมศาสตร์


ส่วนที่หน้ากรมประชาสัมพันธ์ ก็มีนักศึกษาประชาชนชุมนุมกันหลายพันคน และได้เข้ายึดกรมประชาสัมพันธ์และสำนักงานคณะกรรมการติดตามและประเมินผลการ ปฏิบัติราชการ (ก.ต.ป.)


เวลา 09.30 น. สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ของจอมพลถนอม บิดเบือนว่ามีนักเรียนและผู้แต่งกายคล้ายทหารก่อวินาศกรรม บุกเข้าไปในสวนจิตรลดาฯ และสถานที่ราชการ โดยมุ่งหมายที่จะลบล้างเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระหว่างนั้นเอง พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร ในฐานะหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการปราบปรามจลาจล พร้อมกับทหารและตำรวจ ก็ได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ 2 ลำ บินตรวจการณ์และรายงานข่าวบิดเบือนว่าในธรรมศาสตร์มีการซ่องสุมอาวุธและผู้ คน และการจลาจลครั้งนี้เป็นไปตามแผนของคอมมิวนิสต์ นอกจากนี้ยังมีการยิงปืนเอ็ม 16 และระเบิดแก๊สน้ำตาลงใส่ประชาชนในธรรมศาสตร์ตลอดทั้งวัน


เหตุการณ์บานปลายลุกลามออกไปอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด ทหารและตำรวจออกปราบฝูงชนโดยใช้ทั้งอาวุธปืน รถถัง และเฮลิคอปเตอร์ มีการต่อสู้ปะทะกันตลอดถนนราชดำเนิน ตั้งแต่ผ่านฟ้าถึงสนามหลวง โดยเฉพาะที่หน้ากรมประชาสัมพันธ์ กรมสรรพากร กองสลากกินแบ่ง โรงแรมรัตนโกสินทร์ ตึก ก.ต.ป. กองบัญชาการตำรวจนครบาลผ่านฟ้า รวมทั้งบริเวณสถานีตำรวจชนะสงคราม และย่านบางลำภู มีการเผาทำลายสถานที่ราชการต่างๆ ศพวีรชนที่สละชีวิตหลายคนถูกแห่เพื่อเป็นการประจานความทารุณของทหารตำรวจและ ชักชวนให้ประชาชนไปร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ส่วนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นักศึกษาก็ลำเลียงผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บไป โรงพยาบาลศิริราชทางเรือตลอดเวลา


รัฐบาลมีคำสั่งไม่ให้ประชาชนออกนอกบ้านในเวลากลางคืน การปราบปรามนักศึกษาประชาชนก็ยังดำเนินต่อไป กระทั่งเวลา 18.30 น. สถานีวิทยุกรมประชาสัมพันธ์และสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี ถ่ายทอดแถลงการณ์การลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของจอมพลถนอม กิตติขจร


ในเวลา 19.15 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีกระแสพระราชดำรัสทางวิทยุและโทรทัศน์ ขอให้ทุกฝ่ายระงับเหตุแห่งความรุนแรง


อย่างไรก็ตาม ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็ยังคงมีประชาชนมาชุมนุมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยังคงมีตำรวจทหารยิงทำร้ายประชาชนอยู่ในบางบริเวณ


ท่ามกลางความสับสน เมื่อถึงเวลา 23.30 น. นายสัญญา ธรรมศักดิ์ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ปราศรัยทางโทรทัศน์ ขอให้ทุกฝ่ายคืนสู่ความสงบ และประกาศจะใช้รัฐธรรมนูญภายใน 6 เดือน


ตลอดคืนนั้นยังคงมีเสียงปืนดังขึ้น ท้องฟ้าเหนือถนนราชดำเนินเป็นสีแดง ควันปืนพวยพุ่งเป็นหย่อมๆ การต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยดำเนินไปตลอดคืน

 

 

เปิดใจ "สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ" รองประธานกรรมการมูลนิธิ 14 ตุลา


@ คนลืมเหตุการณ์ 14 ตุลา 16 กันหรือยัง?


ผมคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เหตุการณ์ผ่านมา 36 ปีแล้วเด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ค่อยรู้แล้ว เขาเรียกรวมกันเป็น 16 ตุลา ไปแล้ว แต่แปลกนะ ช่วงปีสองปีนี้งาน 24 มิถุนา กลับคึกคักกว่า ผมว่าสถานการณ์บ้านเมืองมันไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย เลยทำให้คนรู้สึกว่าต้องกลับไปฟื้นเจตนารมณ์ของคณะราษฎร


@ ปัจจุบันคนให้ความสนใจการจัดงาน 14 ตุลาแค่ไหน?


เมื่อ 3-4 ปีก่อน ก็พอสมควร โดยทั่วไปนอกจากจัดงานประจำแล้ว จะมีปาฐกถาทางประวัติศาสตร์บ้าง เชิงความรู้บ้าง เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน อย่างปีนี้ก็เชิญ อาจารย์กุลดา เกตุบุญชู จากคณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มาเป็นปาฐก พอดีอาจารย์ทำวิจัยเรื่องประวัติศาสตร์ 14 ตุลา


จริงๆ ก็มีปัญหาเหมือนกับสังคมไทยทั่วไป เราแบ่งกันเป็นเสื้อแดงกับเสื้อเหลือง ในมูลนิธิส่วนมากไม่แดง (หัวเราะ) อย่างปีนี้ทางมูลนิธิจัดงาน 14 ตุลา ตอนเช้า ตอนเย็นทางกลุ่ม 24 มิถุนา ก็มีการจัดชุมนุมที่สนามหลวง


@ การจัดงาน 14 ตุลา จะให้คนย้อนกลับมาตระหนักถึงการสมานฉันท์


ผมว่าไม่หรอก เพราะว่าคนเดือนตุลาวันนี้ก็ไม่สมานฉันท์กันแล้ว การเรียกร้องให้สมานฉันท์อยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง เป็นการเรียกร้องที่เลื่อนลอย เป็นไปไม่ได้ครับ


ถ้ามองจากทรรศนะผม มันเกิดขึ้นไม่ได้ ผมย้ำตรงนี้ว่าถ้าไม่มีความเป็นธรรม หมายถึงว่าเฉพาะฝ่ายหนึ่งถูกเล่นงานอยู่ตลอด การสมานฉันท์ชนิดที่คนหนึ่งขี่คออีกคนหนึ่งอยู่ สมานฉันท์มันเกิดขึ้นไม่ได้ ฉะนั้น การสมานฉันท์ต้องควบคู่ไปกับการให้ความเป็นธรรม


@ มูลนิธิ 14 ตุลาได้งบประมาณในการจัดงานปีนี้


ไม่มีครับ เพราะว่ามูลนิธิเป็นอิสระ นอกจากตอนที่สร้างอนุสรณ์สถานที่รัฐบาลบริจาคเงินมา แต่เงินเริ่มต้นเป็นเงินของศูนย์นิสิตตั้งแต่สมัย 14 ตุลา ปัจจุบันจึงเป็นเพื่อนฝูงช่วยเหลือกัน ปีนี้เราจะมีงานใหญ่ มีการออกหนังสือ "สมุดภาพ 14 ตุลา" เป็นสมุดภาพที่รวบรวมเหตุการณ์ ก่อน 14 ตุลา และ 14 ตุลา รวบรวมจากหนังสือ หนังสือพิมพ์ร่วมสมัย จากช่างภาพ มาพิมพ์เป็นเล่ม เพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิ พิมพ์มา 1,000 เล่ม เล่มละ 1,000 บาท ซึ่งหลังจากวันงานแล้วยังจะมีวางขายตามร้านหนังสือทั่วไป


@ ยังคงจะมีงานต่อๆ ไปทุกปี


คิดว่ามันคงเป็นอย่างนี้ งาน 14 ตุลา งานเสรีไทย ก็คงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ให้ความสนใจ แต่จะให้เป็นกระแสคนทั้งสังคม คงยาก นอกจากว่ารัฐจะจัดมาเป็นโครงการใหญ่ของรัฐ

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1255516605&grpid=01&catid=no

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
news9
http://pnac-th.blogspot.com/  pnac-th
http://nature1951.blogspot.com/ nature1951
http://econnews9.blogspot.com/ econ
http://seminars9.blogspot.com/ ilaw
http://politic9.blogspot.com/ pdc9
http://jaecafe.com/feed
http://elibrary.nfe.go.th/index2.php
http://www.kmutt.ac.th/rippc/info.htm

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ข่าว//คนพิการผนึกกำลังสู้...."ปลดแอกมนุษย์ล้อสู่อิสระภาพ"


 
 

 
From: Apanee Mitthong <apanee@dpiap.org>
To: 
Sent: Wednesday, September 23, 2009 7:03:21 PM
Subject:  ข่าว//คนพิการผนึกกำลังสู้...."ปลดแอกมนุษย์ล้อสู่อิสระภาพ"

ขอบคุณค่ะ

 


From: kwanruthai [mailto:kwanruthai@dpiap.org]
Sent:  

Subject: ข่าว//คนพิการผนึกกำลังสู้...."ปลดแอกมนุษย์ล้อสู่อิสระภาพ"

 

ที่ศาลปกครองกลาง เมื่อวันที่ ๒๒ ก.ย. ๒๕๕๒ เวลาประมาณ ๑๑.๓๐ น. คนพิการทุกประเภทกว่า ๓๐๐ คน ทั้งที่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวที่ต้องใช้เก้าอี้เข็น "มนุษย์ล้อ" คนตาบอด คนหูหนวก และผู้ปกครองคนออทิสติก เป็นต้น ได้ร่วมชุมนุมกันบริเวณหน้าประตูเข้าอาคารศาลปกครอง โดยนายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ในนามของประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาค ชมรมมนุษย์ล้อนานาชาติ และเครือข่ายคนพิการได้ประกาศให้ วันที่ ๒๒ กันยายน เป็นวัน "ปลดแอกมนุษย์ล้อแห่งชาติ" พร้อมทั้งเชิญชวนทุกคนร่วมฟังศาลพิพากษาใน คดี นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ ที่ปรึกษาสภาผู้พิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย กับพวก ยื่นฟ้อง กทม. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. (ในขณะนั้น) ผอ.สำนักการโยธา และบริษัทบีทีเอส ในข้อกล่าวหาที่หน่วยงานดังกล่าวละเลยต่อหน้าที่ตามกฎหมาย ไม่จัดลิฟต์และสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนพิการเข้าถึงและใช้บริการรถไฟฟ้าบีที เอสได้ทั้ง ๒๓ สถานี ทำให้คนพิการเดือดร้อน ไม่สามารถเดินทางโดยใช้รถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างเท่าเทียมกับคนทั่วไป โดยหลังฟังคำพิพากษา จะมีการแถลงจุดยืนในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของมนุษย์ล้อ

เวลาประมาณ ๑๓.๔๐ น. ศาลได้พิพากษา "ยกฟ้อง" คดีดังกล่าว โดยให้เหตุผลว่า ผู้ถูกฟ้องทั้ง ๔ ไม่ได้ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนด เนื่องจากผู้ถูกฟ้องได้ดำเนินการก่อสร้างสถานีและจัดบริการรถไฟฟ้าบีทีเอส ตามสัญญาโครงการระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเป็นการทำสัญญาก่อนที่กฎกระทรวงแห่ง พ.ร.บ.ฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. ๒๕๓๔ บังคับใช้ นอกจากนั้น ผู้ถูกฟ้องยังได้พยายามบริการคนพิการโดยจัดลิฟต์ให้ ๕ สถานีแล้ว

หลังศาลอ่านคำพิพากษา นายสุภรธรรม และคณะกรรมการอิสระเพื่อความเสมอภาคได้ประกาศถ้อยแถลงจุดยืนการต่อสู้เพื่อ "ปลดแอกมนุษย์ล้อสู่อิสรภาพ" ว่า น้อมรับคำตัดสินของศาล อย่างไรก็ตาม คนพิการจะผนึกกำลังสู้ ต่อไป ดังนี้

๑. เราขอเรียกร้องให้กรุงเทพมหานครและบริษัท BTS แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม โดยการติดตั้งลิฟต์และให้บริการสำหรับมนุษย์ล้อและประชาชนทั้งมวลอย่างเท่าเทียม

๒. เราจะใช้สิทธิตามกฎหมายในการยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด พร้อมทั้งใช้สิทธิตามกฎหมายอย่างจริงจังต่อโครงการก่อสร้างที่ขัดขวางต่อวิถีชีวิตอิสระของเพื่อนคนพิการ

๓. เราจะเจาะ เกาะติด สำรวจ ตรวจสอบ และตีแผ่อาคาร สถานที่ ยานพาหนะ และบริการสาธารณะที่เป็นอันตรายหรือปิดกั้นอิสรภาพของมนุษย์ล้อและประชาชน ๔. เราจะเผยแพร่ความรู้และประชาสัมพันธ์แบบอย่างที่ดีในการเอื้ออำนวยความสะดวกสำหรับคนทั้งมวล พร้อมให้ความร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนในการปรับปรุงและสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก และ

๕. เราจะรณรงค์ให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ระเบียบ หรือมาตรการต่างๆ ให้ทันสมัย เพื่อกำหนดให้บริการสาธารณะทั้งใหม่และเก่าต้องปราศจากอุปสรรคสำหรับคนทั้งมวล (มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย ๒๒ ก.ย. ๒๕๕๒ )

 

กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมพร้อมรูปภาพ ได้ที่  http://www.tddf.or.th/tddf/

 

ขออภัยหากอีเมลฉบับนี้เป็นการรบกวน  หรือเป็นการส่งซ้ำ

ขอบคุณค่ะ

ขวัญฤทัย  สว่างศรี

 

 

 

Best regards,

Ms.Kwanruthai  Savangsri

National Project Coordinator

 

**************************************************************

Disabled Peoples' International Asia-Pacific Region (DPI/AP)

92 Phaholyothin 5 Road, Samsennai, Phayathai Bangkok 10400 THAILAND

Tel: 66 (0)2 271-2123

Fax: 66 (0)2 271-2124

Email: kwanruthai@dpiap.org

Website: http://www.dpiap.org/

**************************************************************

 


ประชาสัมพันธ์งาน FIAAP Asia 2010, VICTAM Asia 2010, Grapas Asia 2010 (วันที่ 3-5 มีค. 2553)


 
จาก: สสว. <jintana@sme.go.th>
วันที่: กันยายน 22, 2009 5:05 หลังเที่ยง
หัวเรื่อง: ประชาสัมพันธ์งาน FIAAP Asia 2010, VICTAM Asia 2010, Grapas Asia 2010 (วันที่ 3-5 มีค. 2553)
ถึง: 


เรื่อง (Subject) : ประชาสัมพันธ์งาน FIAAP Asia 2010, VICTAM Asia 2010, Grapas Asia 2010 (วันที่ 3-5 มีค. 2553)
เรียน สมาชิก สสว.

 

ตามที่ท่านได้ให้ความสนใจและสมัครเป็น "สมาชิก สสว." นั้น สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ขอขอบพระคุณในความสนใจและเข้าร่วมเป็น สมาชิก สสว.  โดย สสว. จะเร่งดำเนินการวางแผน และจัดให้มีกิจกรรมที่เป็น ประโยชน์ เพื่อมอบให้แก่ท่านในโอกาสต่อไป

สำหรับกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ที่ สสว. จะขอแจ้งแก่ท่านในขณะนี้ คือ
บริษัท เอ็กซ์โปลิงค์ โกลบอล เน็ทเวอร์ค จำกัด จัดงานแสดงสินค้า FIAAP Asia 2010, VICTAM Asia 2010, Grapas Asia 2010 ระหว่างวันที่ 3-5 มีนาคม 2553 ณ ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพฯ

ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้า และการประชุมสัมมนา ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในด้านอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยง สัตว์บก สัตว์น้ำ การเกษตร ข้าว และเทคโนโลยีการแปรรูปธัญญาพืช รวมทั้งงานนิทรรศการงานแสดงสินค้าครบวงจรทาง ด้านอุตสาหกรรมการผลิตวัตถุดิบ อาหารสัตว์ทุกชนิด รวมถึงส่วนผสมในอาหารคน และอาหารสัตว์


สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณสุภาพร โทร. 0-2640-8013 ต่อ 18

หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่
http://cms.sme.go.th/cms/c/journal_articles/view_article_content?article_id=01-OTHER-210909

 

แจ้งข่าวสาร โดย ศูนย์ประสานและบริการ SMEs 2
ฝ่ายประสานและบริการ SMEs (สสว.)
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม

โทร. 0-2278-8800 ต่อ 477, 487

 




--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
chun
http://tham-manamai.blogspot.com /sundara        
http://dbd-52hi5com.blogspot.com/ dbd_52
http://thammanamai.blogspot.com/ อายุวัฒนา
http://sunsangfun.blogspot.com/ suntu